วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

สารเคมีในห้องน้ำ : สารขจัดสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง (โซดาไฟหรือโซเดียมไฮดรอกไซด์)

ในเวลาที่มีสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง สารเคมีชนิดแรกที่เรานึกถึงคงหนีไม่พ้นเจ้าสารเคมีที่มีชื่อว่า โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรืออีกชื่อที่เราน่าจะรู้จักดี นั่นคือ โซดาไฟนั่นเอง สารชนิดนี้เป็นสารที่อันตราย มีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างแรง โซเดียมไฮดรอกไซด์ทำงานโดยการกัดกร่อนสิ่งอุดตัน  ทำให้ท่อน้ำของเราสะอาด น้ำไหลสะดวกยิ่งขึ้น
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (หรือโซดาแผดเผาหรือ Caustic soda) มีสูตรเคมีเป็น NaOH มีน้ำหนักโมเลกุล 40 amu

โซเดียมไฮดรอกไซด์ เป็นสารประกอบไอออนิกในรูปของแข็งสีขาว ดูดน้ำจากอากาศได้ จุดหลอมเหลว 318.4 C ละลายน้ำได้ดี ให้สารละลายมีสมบัติเป็นเบส
โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือโซดาไฟ
ที่มา : www.ท่อตัน.ws/wp-content/uploads/2014/04/SodiumHydroxide.jpg

การใช้ประโยชน์จากโซเดียมไฮดรอกไซด์

โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใช้ในอุตสาหกรรมทำสบู่ ผลิตผงชูรส ในการผลิตเยื่อและกระดาษ  การย้อมสี และการกลั่นปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอื่นได้เช่น ผสมสารเคมี ผงซักฟอก สิ่งทอ และในการทำแร่บอกไซด์ให้บริสุทธิ์สำหรับการผลิตโลหะและอลูมิเนียม
ในขณะที่เราใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ในการกำจัดสิ่งอุดตันในท่อ หากเราใช้ผิดวิธี หรือมีการป้องกันตัวเองไม่ดี สารชนิดนี้ก็อาจก่ออันตรายกับร่างกายเราได้ เพราะสารชนิดนี้มีคุณสมบัติกัดผิวหนังอย่างรุนแรง
ด้วย  และไอระเหยของสารนี้ก็มีอันตรายอย่างแรงเช่นกัน

อาการแสดงพิษและการวินิจฉัย

ระบบหายใจ  (จากการสูดดมไอระเหยเข้าไป)

  • การหายใจเอาไอระเหยที่ขึ้นจากท่อหลังการเทสารลงไป ทำให้หายใจติดขัด ลำบาก  ทำลายเนื้อเยื่อปอด
  • คอบวม

ตา, หู, จมูก, และ ลำคอ


  • ทำให้เจ็บปวดอย่างรุนแรงและเป็นแผลพุพองในลำคอ จมูก ตา หู ริมฝีปาก และลิ้น
  • รุนแรงถึงขั้นตาบอดได้
  • ผู้ที่เคยได้รับสารเข้าทางปาก อาจมีการพัฒนากลายเป็นมะเร็งทางเดินอาหารได้ในภายหลัง 12-42 ปี 

กระเพาะอาหาร และลำไส้


  • ถ้ารับประทานเข้าไป จะระคายเคืองหลอดอาหารอย่างรุนแรง เป็นแผลไหม้
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • อาเจียน
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • มีเลือดออกในอุจจาระ

หัวใจและหลอดเลือด


  • ความดันต่ำอย่างรวดเร็ว
  • หลอดเลือดตีบ

ผิวหนัง


  • ระคายเคือง จนถึงผิวหนังไหม้พุพอง 
  • ผิวหนังและเนื้อเยื่อข้างใต้ผิวหนังตาย
  • หากสัมผัสสารซ้ำๆเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการแห้งแตก เกิดอาการอักเสบของผิวหนัง
  • นอกจากนี้ผิวหนังที่ถูกสารกัดอย่างรุนแรงก็อาจเป็นมะเร็งได้ 

เลือด


  • ความเป็นกรดด่างเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง  นำไปสู่การทำลายอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย 

ความรุนแรงของการเกิดพิษขึ้นกับปริมาณ และความเข้มข้นของสารที่ร่างกายได้รับ รวมทั้งการเจือจางและการสะเทินด่างอย่างรวดเร็ว    อาจเกิดการทำลายอย่างรุนแรงที่เนื้อเยื่อปาก ลำคอ ตา ปอด หลอดลม จมูกและกระเพาะอาหาร   การทำลายหลอดลมและกระเพาะอาหารจะยังคงอยู่อีกหลายสัปดาห์ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ถึงแม้เวลาผ่านไปแล้วเป็นเดือนหลังการรับประทานเข้าไป

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น

เมื่อสูดดมสารเข้าไป

ถ้าสูดดมสารชนิดนี้เข้าไป ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์  ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ ให้การช่วยหายใจ หรือถ้าผู้ป่วยหายใจลำบากต้องทำการให้ออกซิเจน

เมื่อสัมผัสสาร

ในกรณีที่สารถูกผิวหนัง ให้รีบล้างออกด้วยน้ำปริมาณมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที  ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปื้อนสารหลังจากนั้นให้ ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

เมื่อสารเข้าตา

ในกรณีที่สารเข้าตา ให้รีบล้างด้วยน้ำปริมาณมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที และต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอ โดยวิธีล้างให้ใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง หลังจากนั้นให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

เมื่อกลืนกินสารเข้าไป

เมื่อกลืนกินสารเข้าไป ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่ให้ใช้น้ำบ้วนปาก และไปพบแพทย์ทันที ห้ามทำให้อาเจียน
หากจำเป็นต้องใช้สารนี้ สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าหายใจเอาฝุ่นสารเข้าไป ระวังอย่าให้สารเข้าตา, โดนผิวหนัง, หรือเสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการได้รับสารเป็นเวลานานหรือซ้ำหลายครั้ง

สารที่เข้ากันไม่ได้

  • ทำปฏิกิริยากับโลหะ เกิดแก๊สไฮโดรเจน ซึ่งเผาไหม้และระเบิดได้
  • เข้ากันไม่ได้กับสารออกซิไดส์อย่างแรง กรดอย่างแรง  สารอินทรีย์ อะลูมิเนียม ดีบุก สังกะสี และสารประกอบไนโตร  รวมทั้งสารอินทรีย์ที่มีธาตุฮาโลเจนเป็นองค์ประกอบ ทำให้ลุกไหม้และระเบิดได้
  • ดูดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ 

การเก็บรักษา


  • เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดฝาแน่นเรียบร้อย ให้ห่างไกลจากเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำจากอลูมิเนียม สังกะสี ดีบุก ตะกั่ว แก้ว ในการบรรจุ
  • ไม่เก็บในที่มีความชื้น และให้ห่างไกลจากน้ำ
  • เวลาเก็บตั้งภาชนะให้ตรง  เก็บในบริเวณที่แห้งและมีอากาศถ่ายเทสะดวก
  • เวลาเปิดจุกควรเปิดด้วยความระมัดระวัง  ป้องกันแรงดันภายในภาชนะ 

การกำจัด 


  • สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เจือจางปริมาณน้อยสามารถเททิ้งลงอ่างน้ำ  แล้วเปิดน้ำตามปริมาณมากๆ    แต่ถ้ามีปริมาณมากควรสะเทินเสียก่อนค่อยเททิ้ง
  • ไม่ควรเททิ้งบนพื้นดิน  และไม่ทิ้งร่วมกับขยะในบ้าน

วิธีใช้สารเพื่อความปลอดภัย

  1. ขณะใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์เพื่อขจัดสิ่งอุดตัน ต้องสวมถุงมือและแว่นนิรภัยป้องกันการกระเด็นเข้าตา
  2. หลีกเลี่ยงการสูดดมไอที่เกิดขึ้น
  3. ถ้าใช้แล้วยังไม่ได้ผลท่อยังอุดตันอยู่  อย่าพยายามใช้ตัวปั๊มดันสิ่งอุดตันลงไป  ซึ่งอาจจะทำให้สารเคมีในท่อถูกดันกลับขึ้นมาด้านบน
  4. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อมาใช้เพิ่มเข้าไป      เพราะการใช้สารเคมีต่างชนิดผสมกันอาจทำให้เกิดแก๊สพิษหรือเกิดปฏิกิริยาแล้วดันกลับขึ้นมาด้านบนได้
  5. ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่ได้ผลท่อยังคงมีการอุดตันอยู่ควรเรียกช่างมาซ่อม โดยต้องบอกด้วยว่าใช้ผลิตภัณฑ์อะไรไปแล้วเพื่อให้ช่างหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายแก่ตัวช่างเอง
  6. การเก็บสารเคมีดังกล่าวควรเก็บให้พ้นมือเด็ก
  7. ถ้าผลิตภัณฑ์ในการกำจัดสิ่งอุดตันมีการกล่าวอ้างว่าไม่มีการกัดกร่อน  ผลิตภัณฑ์นั้นต้องบอกองค์ประกอบให้ชัดเจน  เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถ้ามีการสูดดมสารในความเข้มข้นสูงหรือการกินเข้าไป
  8. ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีการนำมาใช้เป็นสารขจัดสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้งได้แก่ พวกเอ็นไซม์และจุลินทรีย์  มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมมากกว่า    แต่อาจไม่ได้ผลเร็วอย่างที่คาดหวัง
  9. การป้องกันการอุดตันของท่อแนะนำให้ใช้น้ำต้มเดือด หรือผงฟูหนึ่งกำมือและน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยเทลงในท่อน้ำทิ้งสัปดาห์ละครั้งซึ่งจะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าสารขจัดสิ่งอุดตุนในท่อน้ำทิ้ง   รวมทั้งปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมมากกว่า       

ที่มาข้อมูล :
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย. (2004). เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SODIUM HYDROXIDE). สืบค้นเมื่อ 25 ,มกราคม, 2560,จากhttp://www.chemtrack.org/MSDSSG/Trf/msdst/msdst1310-73-2.html
  • ศิลปากรมหาวิทยาลัย. (ม.ป.ป.). สารเคมีในชีวิตประจำวัน (สารขจัดสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง). สืบค้นเมื่อ 25 มกราคม, 2560,จาก http://oldweb.pharm.su.ac.th/chemistry-in-life/d012.htm 

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

สารประกอบฟีนอล

ที่มา : http://marilyn.lnwshop.com/article/14/สมุนไพรกานพลู

สารประกอบฟีนอลเป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล (- OH) ต่ออยู่กับวงเบนซีน ซึ่งมีหลากหลายชนิด ทั้งที่พบในธรรมชาติและที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ฟีนอลที่พบในธรรมชาติเช่น ยูจีนอล (Eugenol) ซึ่งเป็นสารหอมระเหยซึ่งสกัดได้จากกานพลู พบได้ในร้านสปา

แหล่งที่พบสารประกอบฟีนอล

สารประกอบฟีนอล พบอยู่ในส่วนของช่องว่างภายในเซลล์ (cell vacuole) ในส่วนต่างๆ ของพืช เป็นสารที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในกระบวนการเจริญเติบโตและการขยายพันธุ์ของพืชแต่ละชนิด
  • ถั่วเมล็ดแห้ง ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง
  •  เมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว และ งา
  • ผลไม้ ได้แก่ องุ่น ส้ม กระท้อน
  • เครื่องเทศ เช่น พริกไทย พริก ขิง กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่
  • พืชเครื่องดื่ม ได้แก่ ชา โกโก้
  • พืชหัว ได้แก่ มันเทศ

ตัวอย่างของสารประกอบฟินอลที่พบตามธรรมชาติในพืช
  • จินเจอรอล (gingerol) พบใน ขิง
  • ยูจินอล (eugenol) ใน กานพลู ตะไคร้ ใบกระเพรา
  • แคปไซซิน (capsaicin) ในพริก
  • เคอคิวมิน (Curcumin) ในขมิ้น
  • แคทีชิน (catechin) ในชา


 
Methylparaben
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/File:Methylparaben.svg
Tyrosine
ที่มา : www. beherbshop.com/green_coff/ไทโรซีนตัวช่วยสำคัญของ/
นอกจากนี้ยังมีสารฟีนอลที่สังเคราะห์ขึ้นเช่น บีเอชที (BHT) และบีเอชเอ (BHA) ที่มักใช้เป็นสารกันหืนที่มีน้ำมันและไขมันเป็นองค์ประกอบ
BHT
BHA
สารประกอบฟีนอลเป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล (- OH) และหมู่แอริล (Arly group)



ต่อกันดังโครงสร้าง 

โดยมีสูตรทั่วไปคือ ArOH โดยมีฟีนอลเป็นสารประกอบฟีนอลที่เล็กที่สุด มีสูตรโมเลกุลคือ C6H5OH
Phenol (C6H5OH)

สมบัติทางกายภาพของฟีนอล


ลักษณะของฟีนอล
ที่มา : https://dir.indiamart.com/impcat/phenol-crystal.html

ฟีนอลมีลักษณะเป็นของแข็งสีขาว มีสมบัติเป็นกรด
สูตรเคมี : C6H5OH
น้ำหนักโมเลกุล : 94.11 AMU
พี่เอช (pH) : 6
จุดเดือด/ข่วงการเดือด : 182 oC  760 mmHg
จุดหลอมเหลว/ช่วงการหลอมเหลว : 40 - 42 oC  
ฟีนอลสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนบริเวณหมู่ไฮดรอกซิลได้ ดังรูป

พันธะไฮโดรเจนในฟีนอล

ที่มา : http://www.meritnation.com/ask-answer/question/difference-between-benzene-and-phenol/haloalkanes-and-haloarenes/5312440

การละลายน้ำของฟีนอล    

เนื่องจากฟีนอลสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนได้ ดังนั้นฟีนอลจึงมีความสามารถในการละลายน้ำได้เช่นเดียวกับสารประกอบแอลกอฮอล์ ฟีนอลสามารถละลายน้ำได้ดีกว่าแอลกอฮอล์ที่มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันเนื่องจากวงอะโรมาติกของฟีนอลเพราะโมเลกุลรวมตัวเล็กลง เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ที่มีกิ่งก้านก็จะสามารถละลายน้ำได้ดีขึ้นนั่นเอง (เฮกซานอล (hexanol) ละลายน้ำได้ 5.9 กรัม/1000 มิลลิลิตร ที่ 20 องศาเซลซียส ฟีนอลละลายน้ำได้ 83 กรัม/1000 มิลลิลิตร ที่ 20 องศาเซลเซียส)

ความเป็นกรด-เบสของฟีนอล

ฟีนอลมีสมบัติเป็นกรดเล็กน้อย ค่าคงที่การแตกตัวของกรดหรือค่า Ka ของฟีนอลเท่ากับ   1x10-10 ในขณะที่กรดแอซิติก (CH3COOH) ซึ่งเป็นกรดอินทรีย์ มีค่าคงที่การแตกตัวของกรดหรือค่า Ka เท่ากับ 1.7 x 10-5 จากค่า Ka ข้างต้นทำให้ความสามารถในการละลายในเบสแตกต่างกัน
การละลายน้ำของฟีนอล
การละลายน้ำของกรดแอซิติก
เมื่อใช้สารละลาย 5% NaHCO3 ซึ่งเป็นเบสอ่อนเป็นตัวทำละลายพบว่าฟีนอลไม่ละลายในสารละลาย NaHCO3 และไม่ให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แต่กรดแอซิติกสามารถละลายได้ในสารละลาย NaHCO3 และให้แก๊ส CO2 ด้วย เนื่องจากกรดแอซิติกเป็นกรดแก่กว่าฟีนอลนั่นเอง ดังสมการ
แต่สารฟีนอลไม่ได้เป็นกรดอ่อนทุกตัว ถ้าหากมีหมู่ดึงอิเล็กตรอนหรือใช้ตัวย่อ EWG อยู่ที่ตำแหน่งออโท และ/หรือพาราของฟีนอล ก็จะทำให้สารประกอบฟีนอลชนิดนั้นเป็นกรดที่สูงขึ้น เนื่องจากอิทธิพลในหมู่ดึงอิเล็กตรอนนั้นทำให้แรงระหว่างพันธะระหว่างออกซิเจนและไฮโดรเจนบริเวณหมู่ไฮดรอกซิลอ่อนลง จึงทำให้ไฮโดรเจนแตกตัวเป็น H3O+ ได้ง่ายขึ้น

 หมู่ดึงอิเล็กตรอนในฟีนอล
ตัวอย่างเช่น 2,4,6-trinitrophenol (กรดพิคริก) มีค่า pKa = 0.38 ซึ่งมีค่ามากกว่ากรดแอซิติกหรือกรดน้ำส้ม (CH3COOH : pKa = 4.76)

ดังนั้นถ้าค่า Ka มากแสดงถึงการแตกตัวเป็นไฮโดรเนียมไอออน (H3O+) ในน้ำได้มาก (มีความเป็นกรดมาก) แต่ถ้าค่า Ka น้อยแสดงถึงการแตกตัวเป็นไฮโดรเนียมไอออนในน้ำได้น้อย (มีความเป็นกรดน้อย) จุดเดือดและจุดหลอมเหลว
ฟีนอลจะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงกว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีน้ำหนักโมเลกุลใกล้เคียงกัน เช่น ฟีนอลมีน้ำหนักโมเลกุล 94 จุดเดือด 182 C จุดหลอมเหลว 40-43 C ในขณะที่โทลูอีนมีน้ำหนักโมเลกุล 92 จุดเดือด 111 C จุดหลอมเหลว -95 C ทั้งสองมีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกันแต่มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวแตกต่างกันอย่างมากทั้งนี้เนื่องจากฟีนอลมีหมู่ไฮดรอกซิลเป็นองค์ประกอบซึ่งสามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลได้ ดังนั้นจึงมีแรงดึงดูดยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูงทำให้ต้องใช้พลังงานมากในการแยกโมเลกุลออกจากกัน จึงทำให้ฟีนอลมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงกว่าโทลูอีน
 
Phenol (C6H5OH)           Toluene

การเรียกชื่อของสารประกอบฟีนอล

แบ่งเป็น 2 ระบบคือระบบการเรียกชื่อแบบสามัญและระบบ IUPAC (International Union of Pure and Applied Chemistry)

การเรียกชื่อแบบสามัญ

เรียกตำแหน่งคาร์บอนที่อยู่ถัดจากคาร์บอนที่มีหมู่ไฮดรอกซิลต่ออยู่ทั้งสองข้าง เรียกตำแหน่งออโท (ortho-) ตำแหน่งคาร์บอนถัดมาเรียกตำแหน่งเมตา (meta-) และตำแหน่งคาร์บอนที่อยู่ตรงข้ามกับคาร์บอนที่มีหมู่ไฮดรอกซิลต่ออยู่เรียกพารา (para-) แต่จะไม่เขียน ortho-  meta-  para- เต็มๆ จะเขียนเพียง o- แทน orhto- เขียน m- แทน meta- และเขียน p- แทน para-
การเรียกชื่อฟีนอลแบบสามัญ
ตัวอย่างการอ่านชื่อฟีนอลแบบสามัญ
อะตอมโบรมีนอยู่ที่ตำแหน่งออโท มีอะตอมคลอรีนอยู่ที่ตำแหน่งเมตา และมีอะตอมฟลูออรีนอยู่ที่ตำแหน่งพารา ดังนั้นการอ่านชื่อจึงต้องอ่านว่า ออโทโบรโมฟีนอล (o-brmophenol) เมตาคลอโรฟีนอล(m-chlorophenol) และพาราฟลูออโรฟีนอล (p-fluorophenol)
หมายเหตุ อักษรภาษาอังกฤษ o-  m- และ p- ต้องเอียงเสมอ พร้อมทั้งการอ่านชื่อสารประกอบฟีนอลแบบสามัญต้องลงท้ายชื่อด้วยคำว่า phenol เสมอเพราะถือว่าเป็นหมู่ฟังก์ชันหมู่หนึ่งเช่นเดียวกัน

m-ethyl-o-methylphenol
จากตัวอย่าง m-ethyl-o-methylphenol การอ่านชื่อหมู่แทนที่ต้องอ่านตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ จากตัวอย่างมีหมู่แทนที่เมทิล (methyl) และ เอทิล (ethyl) ซึ่งหมู่เอทิลเป็นอักษรภาษาอังกฤษ ที่ขึ้นต้นด้วยตัว e ซึ่งมาก่อนอักษรภาษาอังกฤษของเมทิลซึ่งขึ้นต้นด้วยตัว m ดังนั้นเวลาอ่านต้องอ่านหมู่เอทิลก่อนหมู่เมทิล

o-bromo-m-fluorophenol
จากตัวอย่าง o-bromo-m-fluorophenol มีอะตอมโบรมีนอยู่ที่ตำแหน่งออโท มีอะตอมฟลูออรีนอยู่ที่ตำแหน่งเมตา อักษรภาษาอังกฤษของอะตอมโบรมีนขึ้นต้นด้วยอักษร b อักษรภาษาอังกฤษของอะตอมฟลูออรีนขึ้นต้นด้วยตัว f ดังนั้นสารประกอบฟีนอลนี้ต้องอ่านว่า ออโทโบรโมเมตาฟลูออโรฟีน(o-bromo-m-fluorophenol)

การอ่านชื่อตามระบบ IUPAC

เริ่มนับคาร์บอนที่มีหมู่ไฮดรอกซิลต่ออยู่เป็นคาร์บอนตาแหน่งที่ 1 และตำแหน่งถัดมาเป็น 2 3 4 5 และ 6 ตามลำดับโดยการนับอาจนับตามหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้ที่ให้ชื่อที่มีตัวเลขต่ำกว่า
การอ่านชื่อตามระบบ IUPAC
ตัวอย่างการอ่านชื่อตามระบบ IUPAC 
จากตัวอย่างอะตอมโบรมีนอยู่ที่ตำแหน่งที่ 2 มีอะตอมคลอรีนอยู่ที่ตาแหน่งที่ 3 และมีอะตอมฟลูออรีนอยู่ที่ตำแหน่งที่ 4ดังนั้นสารประกอบฟีนอลดังกล่าวต้องอ่านว่า สองโบรโมฟีนอล (2-bromophenol) สามคลอโรฟีนอล (3-chlorophenol) และสี่ฟลูออโรฟีนอล (4-fluorophenol) ตามลำดับ
การอ่านชื่อนอกจากจะต้องระบุตำแหน่ง 2 3 4 5 หรือ 6 แล้วยังต้องเรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษของหมู่แทนที่ด้วย

3-ethyl-2-methylphenol
จากตัวอย่างมีหมู่แทนที่เมทิล และ เอทิล ซึ่งหมู่เอทิลมีอักษรภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยตัว e ซึ่งมาก่อนอักษรภาษาอังกฤษของเมทิลซึ่งขึ้นต้นด้วยตัว m ดังนั้นเวลาอ่านชื่อต้องอ่านหมู่เอทิลก่อนหมู่เมทิล และ
การอ่านชื่อที่ถูกต้อง ต้องเอาลำดับเลขน้อยไว้กับลำดับภาษาอังกฤษของหมู่แทนที่ที่ขึ้นต้นก่อน ตัวอย่างเช่น

หมายเหตุ ตัวเลขที่อยู่ด้านหน้าจะไม่เอียงตาม o-, m-, p- ในชื่อสามัญ

ประโยชน์ของสารประกอบฟีนอล

  1. นำมาใช้เป็นสารหอมระเหยในสปา
  2. สารประกอบฟีนอลที่เล็กที่สุดคือฟีนอลถูกพบในธรรมชาติ ในน้ำมันดินจากถ่าหิน ฟีนอลเป็นสารพิษอันตรายและกัดผิวหนังได้ใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวดพวกพาราเซตามอล ยาฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย
  3. ใช้ผลิตกาว สี พลาสติก วัตถุระเบิดในระดับอุตสาหกรรม
  4. ใช้เป็นสารตั้งต้นในการถนอมอาหาร เช่น BHT
  5. นอกจากนี้สารประกอบฟีนอลชนิดอื่นๆ เช่น Tyrosine ซึ่งเป็นกรดอะมิโน และยูจินอลเป็นสารที่พบมากในน้ำมันหอมระเหยกานพลู
  6. ด้านความงาม เช่น Methylparpben ซึ่งพบมากในผลไม้พวกบลูเบอรี่ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย จึงเป็นที่นิยมในการนำมาผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ถนอมผิวจำนวนมากแต่ เมทิลพาราเบนถึงแม้จะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจ ก่อให้เกิดการแพ้ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับอันตราย

เมื่อสูดดมสาร
ถ้าสูดดมสารเข้าไปให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจให้การช่วยหายใจ  ถ้าผู้ป่วยหายใจลำบากทำการให้ออกซิเจน
เมื่อสัมผัสสาร
ในกรณีที่สารถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยน้ำปริมาณมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที  ถอดเสื้อและรองเท้าที่เปื้อนสารออก  รีบไปพบแพทย์
เมื่อสารเข้าตา
ในกรณีที่สารเข้าตาให้ล้างด้วยน้ำปริมาณมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที  และต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอ โดยใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง รีบไปพบแพทย์
เมื่อกลืนกิน
เมื่อกลืนกินสารเข้าไป ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่ให้ใช้น้ำบ้วนปาก  และไปพบแพทย์ทันที
คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติที่ปลอดภัย : อย่าหายใจเอาฝุ่นเข้าไป  ระวังอย่าให้เข้าตา, โดนผิวหนัง, หรือเสื้อผ้า.  หลีกเลี่ยงการได้รับสารเป็นเวลานานหรือซ้ำหลายครั้ง
การเก็บรักษา
ปิดภาชนะให้สนิท  เก็บให้ห่างจากความร้อนและเปลวไฟ ใช้และเก็บภายใต้ไนโตรเจน เก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส
ที่มาข้อมูล
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย. (2004). เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (PHENOL). สืบค้นเมื่อ 16 ,มกราคม, 2560,จาก http://www.chemtrack.org/MSDSSG/Trf/msdst/msdst108-95-2.html
  • นาตยา งามโรจนวณิชย์ และเอกพล รัตนางกูร (ม.ป.ป.). เคมีอินทรีย์ ตอนสารประกอบฟีนอล. สืบค้นเมื่อ 18 มกราคม, 2560, จาก http://www.phukhieo.ac.th/obec-media/2555/manual/%A4%D9%E8%C1%D7%CD%E0%A4%C1%D5/62_%CA%D2%C3%BB%C3%D0%A1%CD%BA%BF%D5%B9%CD%C5.pdf
  • พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์  และนิธิยา รัตนาปนนท์ (ม.ป.ป.). สารประกอบฟีนอล. สืบค้นเมื่อ 18 มกราคม, 2560, จาก http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/2585/phenolic-compound

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

สารเคมีในห้องน้ำ : น้ำยาบ้วนปาก

ที่มา : http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/02/blog-post_869.html
สุขภาพในช่องปากเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆคน ดังนั้นเราจึงพยายามในการรักรักษาสุขภาพในช่องปากให้สะอาด สุขภาพดี ไม่มีกลิ่นปาก ในปัจจุบันนอกจากน้ำยาบ้วนปากเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องปากที่นิยมใช้เพื่อช่วยเสริมการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากนอกเหนือไปจากการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน น้ำยาบ้วนปากมีอยู่หลากหลายชนิดให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ทั้งแบบชนิดที่มีรสหอม    เพื่อช่วยทำให้ช่องปากสดชื่น ชนิดที่มีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ และชนิดที่มีสารระงับเชื้อเพื่อช่วยลดปริมาณคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นปาก ผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้นมักมีสารต้านเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วนผสมนอกเหนือไปจากการมีรสหอมน่าใช้ เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการป้องกันรักษาโรคเหงือกและฟันและปัญหากลิ่นปากได้ดีขึ้น โดยหนึ่งในสารระงับเชื้อที่พบว่ามีการเติมลงในผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากคือ ไธมอล

ข้อมูลทั่วไปของไธมอล (thymol)

ชื่อ IUPAC : 5-Methyl-2-(propan-2-yl)phenol
ชื่ออื่น : 5-Methyl-2-(1-methylethyl)phenol ; 1-Methyl-3-hydroxy-4-isopropylbenzene
สูตรเคมี : C10H14O
สูตรโครงสร้าง :

ที่มา :http://www.chemspider.com/Chemical-Structure.21105998.html
มวลต่อโมล : 150.22 g/mol

สมบัติทางเคมีและกายภาพ

ลักษณะ : เป็นของแข็ง ไม่มีสี มีกลิ่นเฉพาะตัว ไธมอลเป็นสารที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ

ข้อมูลเกี่ยวกับอันตราย


เมื่อถูกผิวหนัง : ระคายเคืองบริเวณที่โดนสาร
เมื่อเข้าตา : เกิดการระคายเคืองตา  
เมื่อกลืนกิน : ระคายเคืองต่อเยื่อบุในปาก หลอดลม หลอดอาหารและระบบลำไส้
ผลต่อระบบในร่างกาย : ระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจผิดปกติ เป็นพิษต่อ ไต , ตับ 

ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ : ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ

การปฐมพยาบาล

เมื่อสูดดม : ในกรณีที่ผู้ป่วยสูดดมสารเข้าไป ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์  ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ ให้การช่วยหายใจ  ถ้าผู้ป่วยหายใจลำบากทำหารให้ออกซิเจน หลังจากนั้นไปพบแพทย์
เมื่อถูกผิวหนัง : ชะล้างออกด้วยน้ำปริมาณมาก ทาด้วยพอลีเอทิลีนไกลคอล 400 ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนออกทันที
เมื่อเข้าตา : ในกรณีที่สารเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำปริมาณมากเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที และต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอโดยใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง พบจักษุแพทย์ทันที
เมื่อกลืนกิน : ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำปริมาณมาก (หลายลิตรถ้าจำเป็น), ไม่ควรทำให้อาเจียน (อาจทำให้เกิดการกัดจนทะลุ) นำส่งแพทย์ทันที ห้ามปรับสภาพสารให้เป็นกลาง

การเก็บรักษา

ใส่ในภาชนะที่ปิดสนิท เก็บในที่แห้ง บริเวณที่มีการถ่ายเทอากาศได้ดี ณ. อุณหภูมิ +15 ถึง +25 องศาเซลเซียส

โครงสร้างทางเคมีและกลไกการออกฤทธิ์

ไธมอล (thymol) หรือไอโซโพรพิลเมธิลฟีนอล (isopropylmethylphenol, IPMP) เป็นสารอนุพันธ์ในกลุ่มโมโนเทอร์ปีน ฟีนอล (monoterpene phenol) ซึ่งพบได้ในธรรมชาติในน้ำมันที่สกัดจากต้นไธม์ (thyme)
ไธมอลมีกลิ่นหอมและยังมีฤทธิ์ดีในการระงับเชื้อ สารนี้ละลายน้ำได้ค่อนข้างน้อย แต่ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์และตัวทำละลายอินทรีย์
ไธมอลเป็นที่นิยมนำมาใช้ผสมในน้ำยาบ้วนปากดับกลิ่นและน้ำยากลั้วคอในสัดส่วนประมาณร้อยละ 0.05 ถึง 0.06 โดยสามารถออกฤทธิ์ระงับเชื้อโดยมีกลไกการทำงานไปทำลายผนังเซลล์แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก ทำให้เสียสมดุลย์ เซลล์แตกและตายในที่สุด โดยไธมอลจะคงตัวอยู่ในช่องปากและยังคงมีฤทธิ์ในการระงับเชื้ออยู่ภายหลังการใช้ประมาณ 2 ชั่วโมง

ความเป็นพิษ

ไธมอลจัดเป็นสารที่มีความเป็นพิษ เป็นอันตรายหากกลืน จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายหากสูดดมหรือสัมผัสกับสารนี้โดยตรง ทั้งนี้มีรายงานค่าความเป็นพิษของไธมอล โดยพบว่าปริมาณสารไธมอลที่ทำให้หนู (rat) ตายร้อยละ 50 เมื่อให้โดยการรับประทานมีค่าเท่ากับ 980 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และปริมาณที่ทำให้หนู (mouse) ตายร้อยละ 50 เมื่อให้โดยการฉีด มีค่าเท่ากับ 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นต้องมีความระมัดระวังในการทำงานกับสารดังกล่าว สำหรับการนำไธมอลมาผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน แป้งผงโรยตัว น้ำยาทำให้ปากสดชื่น เป็นต้น ต้องใช้ที่ความเข้มข้นในปริมาณที่เหมาะสมตามกำหนด

อาการพิษ

หากรับประทานไธมอลที่มีความเข้มข้นสูง ๆ จะทำให้เกิดพิษเช่นเดียวกับฟีนอล แต่อาจมีความเป็นพิษน้อยกว่า โดยทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่ออก ท้องเสีย ไปจนถึงหมดสติ    
อย่างไรก็ตามในกรณีของไธมอลที่ใช้ผสมในน้ำยาบ้วนปาก (มีไธมอลผสมอยู่ในปริมาณประมาณร้อยละ 0.05 ถึง 0.06) ยังไม่มีรายงานถึงอันตรายหรือความเป็นพิษ

ข้อควรระวัง

ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสไธมอลที่มีความเข้มข้นสูงโดยตรง สำหรับน้ำยาบ้วนปากที่มีไธมอลเป็นองค์ประกอบมักพบว่าเป็นชนิดที่มีแอลกอฮอล์ผสมในปริมาณค่อนข้างสูง (เพื่อช่วยในการละลายของไธมอลที่ละลายได้ไม่ดีในน้ำ) จึงต้องระมัดระวังในการใช้ ให้อ่านวิธีใช้ข้างขวดให้รอบคอบ ไม่ควรใช้บ่อยหรือในปริมาณมากกว่าที่กำหนด และอย่าเผลอกลืน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกต่าง ๆ ได้บ้าง ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณและความถี่ของการใช้

การปฐมพยาบาล

เนื่องจากไธมอลที่ผสมในน้ำยาบ้วนปากมีในปริมาณน้อย และยังไม่มีรายงานถึงอันตรายและการเกิดพิษ ในกรณีที่เผลอกลืนลงไปในปริมาณเพียงเล็กน้อยไม่ควรที่จะทำให้เกิดการระคายเคือง อย่างไรก็ตามหากกระเด็นเข้าตา ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดจนอาการระคายเคืองทุเลา หากมีอาการรุนแรงให้ไปพบแพทย์

การเก็บรักษา

ตามวิธีที่ระบุไว้บนฉลากของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่มีไธมอลเป็นส่วนผสม
ที่มาข้อมูล
  • เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีมหาวิทยาลัย. (ม.ป.ป.). สารเคมีในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ภายใน ห้องน้ำและครัว (ไธมอล (Thymol) น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ). สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม, 2560,จาก http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=1686&Itemid=4&limit=1&limitstart=6
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย. (2004). เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Thymol). สืบค้นเมื่อ 6 ,มกราคม, 2560,จากhttp://www.chemtrack.org/MSDSSG/Merck/msdst/1596/159681.htm