ที่มา : http://www.haaksquare.com/th/node/16589
ในยามที่เสื้อผ้าชุดเก่งของเราเปื้อนคราบต่างๆ
ที่ซักออกยากนอกจากจะใช้ผงซักฟอกขจัดคราบแล้ว หนึ่งในบรรดาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้า ที่เหล่าคุณแม่บ้านทั้งหลายน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ก็คงจะหนีไม่พ้น “น้ำยาซักผ้าขาว”
ซึ่งส่วนใหญ่คุณแม่บ้านจะใช้น้ำยาซักผ้าขาวร่วมกับผงซักฟอก
เพื่อเพิ่มพลังขจัดคราบสกปรกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบหมึก คราบอาหาร
คราบชากาแฟ เพื่อให้เสื้อผ้าขาวสะอาดสดใส
ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวที่มีขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปอยู่ในรูปของเหลวบรรจุขวดพลาสติกสวยงาม
แต่คุณแม่บ้านเคยทราบหรือไม่ว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
มีสารเคมีชนิดใดเป็นส่วนผสมในการออกฤทธิ์ขจัดคราบ ทำความสะอาดเสื้อผ้า
และมีความปลอดภัยในการใช้เพียงใด
สารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ
ในน้ำยาซักผ้าขาวที่ผู้ผลิตนิยมใช้คือ “โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (Sodium hypochlorite)” ซึ่งนอกจากจะมีคุณสมบัติในการขจัดคราบเปื้อนและฟอกผ้าขาว
ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ด้วย ในบางกรณี
จึงมีการนำน้ำยาซักผ้าขาวมาใช้ประโยชน์เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับราดพื้น
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อ IUPAC : Sodium hypochlorite
สูตรเคมี
: NaOCl
สูตรโครงสร้าง :
มวลโมเลกุล : 74.44 AMU
ลักษณะทางกายภาพ
สถานะ : ของเหลว
จุดเดือด/ข่วงการเดือด : 111 oC ที่ความดัน 760
mmHg
จุดหลอมเหลว/ช่วงการหลอมเหลว : -30 ถึง -20 oC
ความดันไอ : 17.5 mmHg ที่
20 oC
ความถ่วงจะเพาะ/ความหนาแน่น : 1.25 g/cm3
การละลายน้ำ: เมื่อละลายน้ำสารชนิดนี้สามารถผสมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำ
อาการพิษ
สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่อยู่ในน้ำยาซักผ้าขาว
มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง
คุณแม่บ้านที่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะควรเก็บให้พ้นมือจากเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย เพราะหากเผลอรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุที่ปากและลำคอ
ปวดท้องและแผลเปื่อยตามบริเวณทางเดินอาหาร
ในกรณีที่หากเผลอเทหกจากขวดรดมือโดยตรง อาจเกิดการระคายเคืองได้ปานกลางและมีผื่นแดงได้บ้าง
แต่หากกระเด็นเข้าตาแล้วจะเกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง
หากสูดดมโดยตรงจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกของทางเดินหายใจได้
การก่อมะเร็ง
สำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่มีรายงานการก่อมะเร็งโดยการใช้น้ำยาซักผ้าขาวที่มีโซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นองค์ประกอบ
มาตรการปฐมพยาบาล
กรณีสูดดมสารเข้าไป
ในกรณีที่ผู้ป่วยสูดดมสารเข้าไป ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์
ถ้าผู้ป่วยไม่หายใจ ให้การช่วยหายใจ ถ้าผู้ป่วยหายใจลำบากทำหารให้ออกซิเจน หลังจากนั้นไปพบแพทย์
กรณีเมื่อสัมผัสสาร
ในกรณีที่สารถูกบริเวณผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่โดนสารด้วยน้ำปริมาณมากเป็นเวลาอย่างน้อย
15 นาที ถอดเสื้อและรองเท้าที่เปื้อนสารออก
หลังจากนั้นไปพบแพทย์
กรณีเมื่อสารเข้าตา
ในกรณีที่สารเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำปริมาณมากเป็นเวลาอย่างน้อย
15 นาที และต้องแน่ใจว่าได้ล้างตาอย่างเพียงพอโดยใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออกจากกันระหว่างล้าง
หลังจากนั้นไปพบแพทย์
กรณีเมื่อกลืนกินสาร
เมื่อกลืนกินสารเข้าไป ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่ให้ใช้น้ำบ้วนปาก
หลังจากนั้นไปพบแพทย์ ห้ามทำให้อาเจียน
ข้อปฏิบัติการใช้สารและการเก็บรักษา
ข้อปฏิบัติการใช้สาร
อย่าหายใจเอาไอระเหยสารเข้าไป ระวังอย่าให้สารเข้าตา, โดนผิวหนัง, หรือเสื้อผ้า.
หลีกเลี่ยงการได้รับสารเป็นเวลานานหรือซ้ำหลายๆครั้ง
โครงสร้างทางเคมีและกลไกการขจัดคราบ
โซเดียมไฮโปคลอไรท์มีโครงสร้างทางเคมีคือ
NaOCl ในน้ำยาซักผ้าขาวโซเดียมไฮโปคลอไรท์
จะแตกตัวออกเป็น Na+ และ ClO-
ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นเกลือ NaOH และ
HClO โซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นสารออกซิแดนท์ที่รุนแรงเกิดการปลดปล่อยแอคทีฟออกซิเจน
[O] ที่เป็นตัวการในการฟอกขาวให้กับเสื้อผ้านั่นเอง
NaOCl + H2O <-----> NaOH + HOCl <-----> Na+ + OH- + H+ + OCl-
ในผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวบางชนิดอาจมีส่วนผสมของเกลือ NaOH
อยู่ในผลิตภัณฑ์ด้วย เพื่อทำให้สารมีความเป็นด่าง เพราะในบางครั้งหากน้ำที่ใช้ตามบ้านมีความเป็นกรดเล็กน้อย
จะไปทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮโปคลอไรท์ เกิดเป็นแก๊สคลอรีนซึ่งมีความเป็นพิษและยังลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำยาซักผ้าขาว
NaOCl + 2HCl ----->Cl2 + H2O + NaCl
การเติมเกลือ NaOH จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีความคงตัวมากขึ้น
แต่มีข้อควรระวังการใช้ ในกรณีที่เติม NaOH ลงไป
เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้าขาวมีความเป็นด่างสูงมากขึ้นจากการเติมเกลือดังกล่าว
ประกอบกับการมีโซเดียมไฮโปคลอไรท์ จะยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงขึ้น
หากหกโดนเสื้อผ้า โดยตรงอาจจะกัดกร่อนทำให้เสื้อผ้าขาดเป็นรูได้ ดังนั้นจึงต้องอ่านฉลากแนะนำการใช้ให้ครบถ้วนถึงวิธีการใช้และปริมาณน้ำที่ใช้ในการการเจือจาง
เพื่อความปลอดภัยในการใช้และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว
สารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าขาวมีอยู่ประมาณ
3 - 6% ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตและระยะเวลาการเก็บ
เนื่องจากโซเดียมไฮโปคลอไรท์ไม่ค่อยเสถียร เสื่อมสลายไปตามระยะเวลา
โซเดียมไฮโปคลอไรท์ออกฤทธิ์ขจัดคราบเปื้อนออกจากเสื้อผ้าได้ดี
โดยเฉพาะที่ทำจากผ้าฝ้าย นอกจากนี้ยังจัดเป็นน้ำยาซักผ้าขาวเพียงชนิดเดียวที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียไปด้วยในตัว
ความเป็นพิษโซเดียมไฮโปคลอไรท์ในน้ำยาซักผ้าขาวไม่เพียงแต่จะมีความสามารถในการขจัดคราบเปื้อนบนเสื้อผ้าแล้ว
สารนี้ยังมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง
เป็นผลมาจากคุณสมบัติในการเป็นสารออกซิแดนท์ที่แรง ดังนั้นจึงต้องระวังการสัมผัสถูกผิวหนัง การกระเด็นเข้าตาหรือการสูดดมโดยตรงจากขวดผลิตภัณฑ์
ข้อควรระวังการใช้
- นอกเหนือไปจากการที่ต้องระวังการสัมผัสผลิตภัณฑ์โดยตรงแล้ว หากในบ้านมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ อยู่ ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่เทสารเหล่านี้ปนกัน โดยเฉพาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเป็นองค์ประกอบ เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำบางชนิด เพราะกรดจะทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮโปคลอไรท์ เกิดแก๊สคลอรีนในระหว่างการผสมและหากเกิดการสูดดมเข้าไปจะทำให้เกิดพิษ ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ และยังทำให้ประสิทธิภาพในการขจัดคราบของน้ำยาซักผ้าขาวที่มีการปนเปื้อนของกรดนั้นลดลง
- ต้องระวังการผสมกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอมโมเนียเป็นองค์ประกอบ เช่น ในน้ำยาเช็ดกระจก เพราะจะทำให้เกิดแก๊สคลอรามีน (chloramine) ซึ่งมีความเป็นพิษเช่นกัน และไม่ควรนำมาทำความสะอาดเสื้อผ้าที่เปื้อนปัสสาวะ เพราะในปัสสาวะมีแอมโมเนียอยู่
- ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้งควรอ่านฉลากการใช้ให้เข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
การเก็บรักษา
บางครั้งคุณแม่บ้านบางท่านอาจอยากเปลี่ยนขวดภาชนะบรรจุให้สวยงามขึ้น ก็สามารถทำได้แต่ต้องถ่ายเก็บในภาชนะพลาสติกประเภท
PVC อย่าถ่ายลงหรือเจือจางผสมน้ำในภาชนะประเภทโลหะหนัก
เช่น กะละมังโลหะเพราะจะทำปฏิกิริยากันได้
เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท นอกจากนี้ควรเก็บให้พ้นจากความร้อน แสงแดด
เพราะผลิตภัณฑ์จะมีอายุการใช้งานและประสิทธิภาพต่ำลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น